Menu

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร 20 กันยายน 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา...

เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 12 สิงหาคม 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา...

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา พร้อมด้วยทีมประเทศไทย...

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา พร้อมด้วยทีมประเทศไทย ได้เข้าพบผู้บริหาร Clark Development Corporation (CDC) โดยมี...

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนาย Joel Anthony M. Viado ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฟิลิปปินส์ (ผบ.ตม.)...

เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ โดยนางมาฆวดี...

Announcement: Temporary Closure of the Royal Thai Embassy on 23 July 2025...

Announcement

Thumbnail Announcement: Temporary Closure of the Royal Thai Embassy on 23 July 2025 (download announcement) The Royal Thai Embassy wishes to inform the public that the Embassy will be closed on Wednesday, 23 July 2025,...
More inPress Release  

สาระน่ารู้เกี่ยวกับฟิลิปปินส์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากิจการธุรกิจรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ (Business Process Outsourcing: BPO) ในฟิลิปปินส์เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการให้บริการ Call Centre ซึ่งเติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 40 ระหว่างปี 2549-2550 โดยในปี 2550 ธุรกิจดังกล่าว สร้างรายได้กว่า 4,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงานกว่า 300,000 อัตรา และในปี 2551-2552 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฟิลิปปินส์ได้อนุมัติคำขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือในการลงทุนของบริษัท BPO ต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

- จุดแข็งของฟิลิปปินส์ในธุรกิจ BPO คือ ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร อนึ่ง ปัจจุบัน ธุรกิจ BPO ในฟิลิปปินส์ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพในการให้บริการ โดยจากการสำรวจในปี 2552 เจ้าของกิจการ BPO ในฟิลิปปินส์ สามารถจ้างงานผู้สมัครงานจำนวน 7 ? 8 คน จากผู้สมัครงาน 100 คน

เมื่อปี 2550 สมาคม National Outsourcing Association ของสหราชอาณาจักรได้จัดให้ฟิลิปปินส์เป็น The Offshoring Destinationa of the Year ประจำปี 2550 และเมื่อ มกราคม 2551 International Data Corporation (IDC) ได้จัดอับดับให้มะนิลาเป็น? Business Process Outsourcing Destination ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (รองจากเมืองบังกาลอร์ อินเดีย)

ปัจจุบันกลุ่มบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ เป็นลูกค้าหลักของธุรกิจ BPO ของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์กำลังพยายามขยายกลุ่มลูกค้าไปยังประเทศในภูมิภาคยุโรปและออสเตรเลีย โดยประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้ตั้งเป้าหมายจะขยายการเจริญเติบโตของธุรกิจ BPO ให้ได้ร้อยละ 40? (จากมูลค่าในปี 2550) ภายในปี 2553

ผู้ประกอบการธุรกิจ offshoring and outsourcing (O&O) ของฟิลิปปินส์ (BPO? เป็นส่วนหนึ่งของ O&O) ได้รวมตัวกันภายใต้ Business Processing Association of the Philippines (BPA/P) โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของธุรกิจ O&O ในฟิลิปปินส์ โดยใน 20 ? 21 ตุลาคม 2552 BPA/P จะจัดการประชุม International Outsourcing Summit : Global Market Leaders Addressing Global Issues เพื่อหารือปัญหาต่างๆ ของธุรกิจ BPOโดยเฉพาะ อย่างยิ่งผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก นอกจากนี้ BPA/P ยังได้ตั้งเป้าหมายให้ฟิลิปปินส์สามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ BPO ของโลกให้ได้ร้อยละ 10 ในปี 2553 ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจ BPO ของฟิลิปปินส์มีมูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะสร้างงานจำนวนกว่า 900,000 อัตรา

การส่งเสริมตลาดธุรกิจ Call Center ของไทย ในฟิลิปปินส์

  • เมื่อ 18 ก.ย. 52 สมาชิสมาคมซอฟท์แวร์แห่งประเทศไทยได้นำผู้ประกอบการไทย 15 บริษัท เข้าร่วมงาน? Secrets of Asia?s Fastest Growing Companies ณ กรุงมะนิลา เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในธุรกิจ Call Center ในฟิลิปปินส์
  • ผู้ประกอบการไทยที่มาร่วมงานดำเนินธุรกิจในสาขาต่างๆ อาทิ Call Center การโรงแรม ธนาคารและการเงิน

?

แผนฉุกเฉินเพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ของฟิลิปปินส์? ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ดังนี้

1 การป้องกัน

1.1 เน้นการตรวจสอบอุณหภูมิของผู้โดยสารที่ท่าอากาศยาน/ท่าเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศที่มีรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อ

1.2 ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ จะขอความร่วมมือผู้โดยสารที่เดินทางเข้าฟิลิปปินส์ กรอกรายละเอียดในแบบสอบถามเกี่ยวกับประวัติการเดินทางและการสัมผัสผู้ป่วยและรายละเอียดการติดต่อ และส่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ก่อนเดินผ่านเครื่องมือตรวจวัดอุณหภูมิ และผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง

2 การวินิจฉัยและการรักษาทันท่วงที

2.1 กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้ออกแนวปฏิบัติในการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ให้โรงพยาบาลในฟิลิปปินส์ยึดปฏิบัติ โดยในกรณีที่โรงพยาบาลพบผู้ป่วยที่มีอาการต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะต้องแจ้งสถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ กำหนดให้เป็น Referral Center? เพื่อทำการส่งตัวอย่างเชื้อไปตรวจที่ Research Institute for Tropical Medicine (RITM) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงมะนิลา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ กำหนดให้เป็นสถาบันเดียวที่มีศักยภาพในการตรวจสอบตัวอย่างเชื้อและให้การรักษาผู้ป่วย โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009? อนึ่ง ปัจจุบันมี Referral Center รวม 5 แห่ง (3 แห่งในเกาะลูซอน, 1 แห่ง ในหมู่เกาะวิซายาส์ และ 1 แห่ง ในหมู่เกาะมินดาเนา)

2.2 กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์มีแผนจะพัฒนาศักยภาพของ Referral Center ทุกแห่งให้สามารถดำเนินงานได้เช่นเดียวกับ RITM เพื่อให้บริการปชช.ได้อย่างทันท่วงทีและครอบคลุม ทั่วถึงทั้งประเทศ

2.3 กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้แบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามอาการเป็น 3 ระดับ ได้แก่ (1) Case under observations (2) Probable (3) Confirmed ตามแนวปฏิบัติของ WHO

2.4 เมื่อ 10 มิถุนายน 52 รัฐมนตรีสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้ออกประกาศแนวปฏิบัติสำหรับสถานพยาบาลในฟิลิปปินส์ เกี่ยวกับการให้บริการผู้ป่วยที่ติดเชื้อฯ และต้องสงสัยว่าติดเชื้อ

2.5? Employees? Compensation Commission (ECC) ภายใต้ กระทรวงแรงงานและการจ้างงานฟิลิปปินส์ได้ประกาศให้การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 เข้าข่ายไร้สมรรถภาพชั่วคราว (Temporary total disability) ซึ่งส่งผลให้คนงานภาครัฐและเอกชนสามารถขอเงินชดเชยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (หน่วยงานภาครัฐ ? Government Service Insurance System และหน่วยงานภาคเอกชน ? Social Security System)ได้ โดย ECC หวังว่าการใช้มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้คนงานที่มีอาการป่วยเข้าข่ายการติดเชื้อฯ มาตรวจร่างกาย ณ สถานพยาบาล มากกว่าหาทางรักษาด้วยตนเอง

3 การบริหารจัดการ

3.1 เมื่อปลายเดือนเมษายน 52 รัฐมนตรีสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้ออกคำสั่งแต่งตั้ง Emergency Management Task Force for the Pandemic Response to Influenza? A (H1N1) ทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น โดยเน้นการกระจายอำนาจการตัดสินใจเพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที

3.2 เมื่อ 4 พฤษภาคม 52 รัฐมนตรีสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ในฐานะประธาน National Disaster Coordinating Council response to the influenza A H1N1 treat ได้ออกคำสั่งให้หนังสือเวียน บันทึก และประกาศแนะนำ เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ที่ออกโดยกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ มีผลบังคับใช้เป็นคำสั่ง

3.3 เมื่อ 7 กรกฎาคม 52 ปลัดกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานท้องถิ่นในระดับต่างๆ จัดทำรายงานเกี่ยวกับการเตรียมรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อฯ ทั้งในด้านการบังคับบัญชา การเตรียมความพร้อมของสถานพยาบาล และระบบสื่อสาร และจัดส่งให้กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์

4. การสร้างเครือข่ายและการประสานงาน

สธ.ฟป. ได้หารือร่วมกับกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง? อาทิ คณะทูตานุทูต ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ.ประจำฟิลิปปินส์ สถานศึกษา องค์กรด้านการคมนาคม ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม และผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อสร้างเครือข่ายในการกระจายและตรวจสอบข้อมูล ทั้งนี้ สธ.ฟป. ได้จัดบรรยายสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและจัดการการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ให้แก่คณะทูตานุทูต เมื่อ 21 พฤษภาคม 52

5. การให้ความรู้แก่ปชช.

5.1 สธ.ฟป. ได้ออกประกาศสถานการณ์ล่าสุดประจำวันผ่านทางเวบไซต์ของกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ www.doh.gov.ph และจัดทำเอกสารข้อแนะนำที่จำเป็นต่อ การเฝ้าระวังโรคโดยกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้แปลเอกสารการเฝ้าระวังโรคฯ เป็นภาษาญี่ปุ่น เกาหลี จีน และ ภาษาท้องถิ่นประจำจังหวัดต่างๆ ของฟิลิปปินส์เพื่อให้ความรู้ในการเฝ้าระวังแก่นักท่องเที่ยวและประชาชน และสร้างความตระหนักถึงอันตรายของโรค? หากเกิดการแพร่ระบาดในระดับท้องถิ่น
5.2 สธ.ฟป.ได้ออกประกาศข้อแนะนำในการรับมือกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สำหรับกรณีการชุมนุมในที่สาธารณะ โดยได้เน้นไปที่กลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) ผู้เข้าร่วมการชุมนุม (2) ผู้จัดการชุมนุม และ (3) เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดูแลการชุมนุม

5.3 เมื่อ 23 มิถุนายน 2552 บริษัท Smart Telecommunication (ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเตอร์เน็ทรายใหญ่ของฟิลิปปินส์) ได้เปิด Hotline หมายเลข 155 เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ใช้ประโยชน์ในการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (วันจันทร์ ? ศุกร์ เวลา 08.00 น. ? 17.00 น.) และสนับสนุนการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของ Smart เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆ? โดยไม่คิดค่าบริการ

สถานะการติดเชื้อล่าสุด

ล่าสุดเมื่อ 16 ก.ย. 52 จากการประสานงานเป็นการภายในกับสธ.ฟป. มีกรณียืนยันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในฟป. จำนวน 4,987 ราย ช่วงอายุระหว่าง 1 วัน ? 85 ปีโดยเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้วจำนวน 4,859 คน (97%) และเสียชีวิต 30 คน

ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานในฟิลิปปินส์ที่สำคัญในปี 2552? ประมวลได้ ดังนี้

1. โครงการลงทุนด้านพลังงานชีวภาพของฟิลิปปินส์

1.1 นับตั้งแต่การประกาศใช้ พระราชบัญญัติพลังงานชีวภาพ (Biofuel Act) เมื่อ ธันวาคม 2550 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้อนุมัติโครงการเกี่ยวกับพลังงานชีวภาพจำนวน 49 โครงการ ได้แก่ โครงการเกี่ยวกับเอธานอล 19 โครงการ โครงการเกี่ยวกับไบโอดีเซล 28 โครงการ? โครงการเกี่ยวกับไบโอดีเซลล์และเอธานอล 1 โครงการ และล่าสุดเมื่อ กันยายน 2552 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้อนุมัติโครงการสร้างโรงกลั่นเอธานอลและโรงไฟฟ้าพลังงานร่วม โดย บริษัท San Carlos Bio-Energy Inc. (SCBI)? ในเมือง San Carlos จ. Negros Occidental โดยมูลค่าการลงทุนรวม 83 พันล้านเปโซ

1.2 พระราชบัญญัติพลังงานชีวภาพของฟิลิปปินส์ ในปี 2550 ได้กำหนดสัดส่วนปริมาณการผสมไบโอดีเซล/ ไบโอเอธานอล ในน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในฟป. ไว้ในลักษณะอัตราก้าวหน้า โดยในปัจจุบัน รัฐบาลฟิลิปปินส์กำหนดให้มีส่วนผสมของไบโอดีเซล ร้อยละ 2 และไบโอเอธานอล ร้อยละ 10 ซึ่งทำให้ ฟป. มีความต้องการไบโอเอธานอลจำนวน 268 ล้านลิตรในปี 2552 และในปี 2554 เพิ่มเป็น 594 ล้านลิตร และปี 2559 เพิ่มเป็น 721 ล้านลิตร

1.3 ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์มีโรงงานผลิตเอธานอลจำนวน 2 โรงงาน ได้แก่ SCBI และ Leyte Agri Corp. และมีกำลังการผลิตต่อปีรวม 39 ล้านลิตร

1.4 ปัจจุบัน Philippines Agricultural Development and Commercial Corp. (PADDC)? บริษัทของรัฐบาลฟิลิปปินส์ทำหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานชีวภาพ มีนโยบายส่งเสริมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน อาทิ อ้อย ข้าวฟ่างหญ้า และมันสำปะหลัง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการผลิต

1.5 ในการเยือนสหราชอาณาจักรของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เมื่อ 17 ? 19 กันยายน 2552 ภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ บริษัท Bronzeoak ได้แสดงความสนใจจะลงทุนเพิ่มเติมในโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเอธานอล เมือง Talac มูลค่า 6 พันล้านเปโซ เมื่อปี 2547 บริษัท Bronzeoak? ได้ลงทุนในโครงการด้านพลังงานชีวภาพในเมือง San Carlos จ. Negros Occidental ซึ่งนับเป็นโรงงานกลั่นเอธานอลโดยน้ำอ้อยแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

2. กระทรวงพลังงานฟิลิปปินส์ให้สัมปทานโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน

2.1 เมื่อ 14 กันยายน 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฟิลิปปินส์ได้ลงนามในสัมปทานแก่ บริษัท Energy Development Corp บริษัท Nothern Luzon UPC Asia Corp? บริษัท PetroEnergy Resources Corp. และ บริษัท Energy Logics Philippines Inc. สำหรับโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานจากลม และ บริษัท Oriental Energy and Power Generation Corps. สำหรับโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ โดยโครงการทั้งหมด 6 โครงการ มีมูลค่ารวม 983.5 ล้าน USD

2.2 กระทรวงพลังงานฟิลิปปินส์ยังได้ให้ certificate of registration แก่ บริษัท? Mariwasa Siam Ceramic Inc. (บริษัทในเครือ SCG ลงทุนในการผลิตกระเบื้อง) ในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลสำหรับใช้ในโรงงาน ในเมือง Sto. Tomas และ Batangas ด้วย? อนึ่ง คาดว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฟิลิปปินส์จะสามารถลงนามในโครงการเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนได้อีก 10 โครงการ ภายในปี 2552

3. ExxonMobil จะเริ่มขุดสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในทะเลซูลู

บริษัท ExxonMobil Exploration and Production Philippines ประกาศจะเริ่มดำเนินโครงการขุดสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในพื้นที่ SC 56 ในทะเลซูลู ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คาดว่าเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์ โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 100 ล้าน USD ดำเนินการขุดเจาะกลางทะเลลึก 1,800 เมตร และยาว 5,000 เมตร บริษัท ExxonMobil คาดว่าจะสามารถเริ่มการขุดเจาะได้ภายในปลายกันยายน? ต้นตุลาคม 2552 ทั้งนี้ โครงการขุดสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในพื้นที่ SC 56 เป็นการร่วมลงทุนของ บริษัท ExxonMobil และ บริษัท Mitra Energy ของมาเลเซีย

4. Callandra ของสิงคโปร์ จะลงทุนในโครงการก๊าซธรรมชาติอัดแน่นในฟป.

4.1 บริษัท Callandra Liqurfield CNG Fuel Corp. ของสิงคโปร์ ประกาศจะลงทุนในโครงการก๊าซธรรมชาติอัดแน่น มูลค่า 160 ล้าน USD ในฟป. โดยเป็นการระดมทุนจากภายในฟิลิปปินส์ 70% และการใช้เงินทุนจากต่างประเทศ. 30% โครงการดังกล่าวประกอบด้วยการสร้างโรงงาน processing plant 1 แห่ง และสถานีบริการ 6 แห่ง ในกรุงมะนิลา โดยแบ่งการก่อสร้างเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2553 สามารถให้บริการรถประจำทางได้ 2,000 คัน ช่วงที่ 2 ในปี 2555 บริการได้ 3,500 คัน และช่วงที่สาม ในปี 2557 บริการได้ 5,000 คัน

4.2 บริษัท Callandra ได้ให้ความสนใจในการดำเนินโครงการนี้มาสามปีแล้วแต่ประสบปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนและขาดแคลนอุปทานก๊าซธรรมชาติในการดำเนินโครงการ จนกระทั่งเมื่อ พฤศจิกายน 2552? Malampaya Consortium (การร่วมทุนระหว่าง บ. Shell Philippines Exploration BV, บ. Chevron และ Philippine National Oil Company Exploration Corp (PNOC-EC) ซึ่งปัจจุบัน รบ.ฟป. ได้แปรรูปสัมปทาน PNOC-EC ให้เครือ San Miguel) ได้เปิดประมูลขายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง Malampaya ในฟิลิปปินส์ ซึ่ง บ. Calandra ได้เข้าร่วมการประมูลด้วย (แหล่งก๊าซธรรมชาติ Malampaya ตั้งอยู่ในทะเลจีนใต้ ห่างจากหมู่เกาะปาละวันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นระยะทาง 80 กม.)

4.3 ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์มีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติแห่งเดียว ดำเนินการโดย บ. Shell Philippines และตั้งอยู่ที่ จ.ลากูนา

5. Chevron สนใจประมูลโครงการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า

5.1 เมื่อต้นกันยายน 52 บ. Chevron ฟป. สนใจจะประมูลโครงการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้ากำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ ในเมือง Batangas (ทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา) โดยใช้พลังงานส่วนเกินจากก๊าซธรรมชาติที่ได้จากแหล่ง Malampaya

5.2 นอกจาก Chevron บริษัทอื่นที่สนใจเข้าร่วมการประมูลในโครงการดังกล่าว ได้แก่ PNOC-ECและ First Gen Corp. ของฟิลิปปินส์ และ Korea Electric Power Corp. (KEPCO) ของเกาหลีใต้

5.3 มีการประเมินว่า ก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง Malampaya ของฟิลิปปินส์ จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2,700 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน มีโครงการที่ได้รับการประมูลให้ผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าวแล้ว จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
(1) โรงงานไฟฟ้าที่เมือง Sta Rita (กำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์)
(2) โรงงานไฟฟ้าที่เมือง San Lorenzo (กำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์) โดยทั้งสองโครงการเป็นการลงทุนโดย First Gen Corp. และ
(3) โรงงานไฟฟ้าที่ Ilijan (กำลังการผลิต 1,271 เมกะวัตต์) ของ? KEPCO

5.4? Chevron เป็น หนึ่งในบริษัทร่วมทุนในโครงการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง Malampaya โดยโครงการดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อปี 2534 นอกจากนี้ Chevron ยังเป็นเจ้าของ import terminal น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวม 24 แห่ง รวมทั้ง import terminal ที่ท่าอากาศยานนานาชาติ?????????? กรุงมะนิลา มีสถานีบริการน้ำมัน 862 แห่ง และตัวแทนจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น 863 แห่งในฟป.

ภาคเอกชนไทยในฟิลิปปินส์ได้ให้ความช่วยผู้ประสบภัยพายุไต้ฝุ่น Ondoy และ Pepeng ประมวลได้ ดังนี้

  1. บ. Mariwaza Siam Ceramics (ผลิตกระเบื้องเซรามิกและบริษัทในเครือ SCG)
    ให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
    (1) มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 100,000 เปโซให้แก่นายกเทศมนตรีเมือง pasig ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงงาน และเป็นบริเวณที่ประสบภาวะน้ำท่วมอย่างหนักซึ่งจนถึงขณะนี้ยังมีน้ำท่วมขังอยู่
    (2) อนุญาตให้พนักงานบริษัทฯ เบิกเงินค่าตอบแทนเดือนที่ 13 (เงินรางวัลประจำปีตามกม.ฟป.) ล่วงหน้าได้
    (3) บริจาคเงิน 1 เปโซ จากทุกยอดขายกระเบื้อง 1 ตารางเมตร เพื่อใช้ในการฟื้นฟูจากพายุไต้ฝุ่น โดยตั้งเป้าว่าจะระดมเงินได้ 2 ล้านเปโซ ในปี 52 และอาจพิจารณาขยายโครงการต่อไปอีกในปี 53

  2. บ. United Pulp and Paper Corporation (UPPC) (ผลิตกระดาษในเครือ SCG)
    ให้ความช่วยเหลือโดย
    (1) ให้เงินกู้พนักงานบริษัทฯ โดยไม่คิดดอกเบี้ย โดยจำนวนเงินกู้ที่ให้กู้ดูจากระดับ ความเดือดร้อนของแต่ละครอบครัว
    (2) ให้ความช่วยเหลือโดยการบริจาคสิ่งของผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัด Bulacan และนายกเทศมนตรีเมือง Calumpit

  3. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ? บริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยในเมือง Pampanga
  4. การบินไทย ? ผู้แทนสมาคมการบินจากประเทศไทย จะนำผ้าห่มจำนวน 10,000 ผืน ยารักษาโรค และของใช้ที่จำเป็นมามอบให้ในวันที่ 12 ตุลาคมนี้ ผ่านสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจการบินฟิลิปปินส์

1. ผลกระทบของไต้ฝุ่น Ketsana และ Parma

1.1 ผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม

  • พายุไต้ฝุ่นทั้งสองลูกสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมคิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านเปโซ (138 ล้าน USD) โดยแบ่งเป็น ความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่น Ketsana 5.58 พันล้านเปโซ และจาก พายุไต้ฝุ่น Parma 452.8 ล้านเปโซ
  • การเพาะปลูกข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุด เนื่องจากบริเวณที่ได้รับผลกระทบ เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญของฟป. (ตอนกลางของเกาะลูซอน) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสียหายต่อผลผลิตข้าวเปลือกจำนวน 300,000 ตัน? และ ข้าวโพด ประมง? พืชศก. ต่างๆ
  • พายุไต้ฝุ่นทั้งสองลูกจะส่งผลให้ภาคเกษตรกรรมฟป. ขยายตัวลดลงโดยเหลือเพียง? 1.5-2.5% ในปี 52 (จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 3%)
  • ตั้งแต่ต้นปี 52 ฟป. ประสบภัยจากพายุ Labuyo, Maring และไต้ฝุ่น Emong ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมฟป. ประมาณ 2 พันล้านเปโซ

1.2 ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

  • สภาหอการค้าฟป. (Philippine Chamber of Commerce and Industry : PCCI) เปิดเผยว่า พายุไต้ฝุ่น Ketsana ได้สร้างความเสียหายต่อธุรกิจ (เฉพาะในกรุงมะนิลา) มูลค่า 1 พันล้านเปโซ ทั้งนี้ PCCI จะปล่อยเงินกู้จำนวน 5 ล้านเปโซแก่สมาชิกเพื่อใช้ในการฟื้นฟูธุรกิจ
  • สภาอุตสาหกรรมฟป (FPI) เปิดเผยว่า 5-10 % ของสมาชิก FPI ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านน้ำท่วมและคนงานไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้

2. นโยบายของรบ.ฟป.

2.1 การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและให้ความช่วยเหลือเกษตรกร

  • รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศจะชดเชยเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกแก่เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากพายุทั้งสองลูก 100% (จำนวนเท่ากับเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งหมดที่ได้รับความเสียหาย)

2.2 การนำเข้าอาหารเพื่อใช้ในการบริโภค

  • เมื่อ? ต.ค. 52 ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรนำเข้าอาหารและข้าวที่จำเป็นต่อการบริโภคภายในประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนอาหารในฟป. และราคาข้าวแพงซึ่งเป็นผลมาจากการประสบไต้ฝุ่นทั้งสองลูก
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ยืนยันว่า ฟิลิปปินส์จะมีข้าวเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศจนถึงสิ้นปี 52 และจะไม่มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เพิ่มเติม? ในปี 52 และยังได้แสดงความมั่นใจว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์จะสามารถบรรลุเป้าหมายในการซื้อข้าวจากการผลิตภายในประเทศได้ 17.44 ล้านเมตริกตัน ในปี 52 (เพิ่มจาก 16.81 ล้านเมตริกตัน ในปี 51) ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ได้
  • เมื่อ 3 ต.ค. 52 National Food Authority (NFA) ของกษ.ฟป.เปิดเผยว่า ปัจจุบัน NFA มีปริมาณสำรองข้าวเพียงพอต่อการบริโภคภายในปท. 36 วัน หรือ ประมาณ 1.26 ล้านเมตริกตัน และแม้พื้นที่เพาะปลูกข้าวบางส่วนได้รับความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่น Ketsana แต่คาดว่า NFA จะสามารถซื้อข้าวเพิ่มเติมจากพื้นที่ซึ่งไม่ประสบภัยพายุไต้ฝุ่นในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางเดือนต.ค.
  • จนถึงปัจจุบัน ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวในปี 2552 จำนวน 1.775 ล้านตัน (ลดลง จากปี 51 ? 2.3 ล้านตัน) โดยเป็นการนำเข้าจากการซื้อขายข้าวระหว่างรบ.ฟป. กับรบ.เวียดนาม จำนวน 1.5 ล้านเมตริกตัน และการนำเข้าในโควตาเอกชน จำนวน 75,000 เมตริกตันจากไทยและปากีสถาน
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ยอมรับว่า ฟป. อาจประสบปัญหา ขาดแคลนและมีความจำเป็นต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการบริโภคภายในประเทศในช่วงต้นปี 2553

2.3 การออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินในการฟื้นฟูศก.

  • รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังพิจารณาออกพันธบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐมูลค่าจำนวน 250-500 ล้าน USD เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และใช้ในโครงการบรรเทาผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น
  • หากแนวความคิดในการออกพันธบัตรข้างต้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา การออกพันธบัตรครั้งนี้จะถือเป็นการออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ของรบ.ฟป. ในปี 52? เป็นครั้งที่ 3 โดยในปีนี้ รบ.ฟป. ได้ออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว 2.25 พันล้าน USD

2.4 การประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติ (State of Calamity)

  • รบ.ฟป. ได้ประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติทั่วฟป. เพื่อเป็นมาตรการป้องกันและแก้ไข การกักตุนสินค้าในฟิลิปปินส์ และการขึ้นราคาสินค้าด้วยการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในฟป. ให้คงที่

What's New

Thumbnail เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร 20 กันยายน 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ได้จัดพิธีเฉลิมพระเกียรติ โดยนางมาฆวดี...
More inWhat's New